เรียนภาษอังกฤษวัยไหนดีที่สุด

เรียนภาษอังกฤษวัยไหนดีที่สุด

1780
Ecstatic kids raising hands while standing by blackboard

หลายๆ คนอาจเคยได้ยินคำสุภาษิตที่ว่า “ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก” คุณผู้อ่านเคยสงสัยไหมคะว่า “เอ๊ะ .. แล้วแบบนี้ การที่เราเพิ่งมาเริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษจริงจังเอาตอนอายุ 20-30 ปีขึ้นไปนี่ มันจะได้เหรอ?”

หรือหากมองในอีกมุมนึงของคำถาม ก็คงไม่ต่างจากสิ่งซึ่งคุณพ่อคุณแม่ในยุคนี้ค่อนข้างให้ความสนใจมากๆ ว่า “แท้ที่จริงแล้ว ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเรียนภาษาอังกฤษควรจะเป็นช่วงไหนกันแน่นะ” วันนี้เรามาหาคำตอบกันดีกว่าค่ะ

ทราบไหมคะว่า สมองของมนุษย์นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่มีความพิเศษมากๆ ตั้งแต่แรกเกิด จนถึงก่อนห้าขวบ สมองของเราจะค่อยๆ เติบโตขึ้นจนถึงช่วงอายุนั้นแล้วสมองก็จะโตเต็มที่ ในช่วงนี้สมองของเราจะเรียนรู้และจดจำสิ่งใหม่ๆ หรือคำศัพท์ใหม่ๆ มากมาย มีความสามารถจำอะไรได้มากจริงๆ เห็นได้ว่าเด็กเล็กจะชอบจำคำใหม่ๆ ที่ตัวเองได้ยินหรือฟังแล้วแปลกหูนั่นเองค่ะ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ช่วงวัยนี้สมองจะจำเก่งและทำงานในแนวนี้ได้ดีกว่าการคิดแบบตรรกะ ดังนั้น ในเด็กเล็ก จึงสามารถเรียนภาษาอังกฤษ (หรือภาษาที่สองอะไรก็ได้) ได้ดีโดยเริ่มจากการฟัง จดจำคำศัพท์ หรือฝึกพูดกับเค้าทุกวันค่ะ

จากนั้นเมื่อเวลาผ่านไป เด็กน้อยเติบโตขึ้นจนเป็นวัยรุ่นจนถึงวัยทำงาน หรือช่วงหลังจาก 5 ขวบขึ้นไปนั้น จะเห็นได้ว่าสมองจะเริ่มเรียนรู้จากประสบการณ์ การคิดแบบตรรกะจะเริ่มมีบทบาทขึ้นมาก ในช่วงต่อจากนี้เองที่เด็กบางคนอาจเริ่มรู้สึกไม่ชอบจำ แต่ชอบที่จะทำความเข้าใจมากกว่า ดังนั้นการเรียนภาษาในช่วงนี้แนะนำว่า ควรใช้ความเข้าใจมากกว่าการจดจำ หากสามารถจับหลักได้เป็นขั้นๆ ไป ภาษาที่สอง สาม สี่ ก็จะไม่ยากเกินจะเรียนอีกต่อไปค่ะ แต่อย่างไรก็ดี ไม่ใช่ว่าจะไม่จำเลยนะคะ อย่างน้อยก็ควรมีส่วนที่ใช้ความจำอยู่บ้างแต่ใช้ให้น้อยลง แล้วเสริมสร้างเป็นความเข้าใจจะดีกว่า และใช้ได้นานกว่ามากค่ะ

จากที่กล่าวมาในย่อหน้าที่ผ่านมาค่ะ คนวัยทำงานก็เป็นผู้ที่มีประสบการณ์ชีวิตสูงขึ้นอีก (สูงจากตอนเป็นวัยรุ่น) ดังนั้น สมองก็ย่อมถูกใช้ไปกับเรื่องอื่นๆ เยอะมากๆ เหลือที่ไว้สำหรับการเรียนรู้หรือจดจำอะไรใหม่ๆ ได้น้อยลงไปอีก ดังนั้น จึงเหมาะกับการเรียนในลักษณะจับหลักการแล้วใช้ความเข้าใจเอาค่ะ (เพื่อความเข้าใจชัดเจนขึ้น ขอเปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ คล้ายๆ กับเวลาเราแก้สมการเลขอ่ะค่ะ ต้องทำอะไรก่อนหลังแบบนั้นค่ะ) และนี่คือความลับอย่างนึงที่ไม่ค่อยมีใครรู้!!!

ที่บอกว่าเป็นความลับ ก็เพราะว่า ที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน การสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย มักจะไม่ค่อยได้คำนึงถึงความจริงในข้อนี้ ส่วนใหญ่หลักสูตรต่างๆ จึงเป็นการสอนในลักษณะที่ทำให้เด็กๆ รู้สึกว่าต้องจำๆๆๆๆๆ เมื่อไม่ชอบจำ ก็เลยเรียนภาษาไม่เก่ง หรือพาลเกลียดภาษาอังกฤษไปเลยนั่นเอง แต่ทราบไหมคะว่า ความจริงแล้ว ภาษาอังกฤษไม่ยากเลย ถ้าจับหลักได้ (คิดแบบตรรกะได้จริงๆ นะ) และเรียนด้วยความเข้าใจ พิสูจน์ได้จากคอร์สที่ BestLearningOnline.com นำเสนอ รับรองได้เลยว่า เรียนจบปุ๊บ อย่างน้อยก็จะต้องเขียนประโยคภาษาอังกฤษได้สบาย ที่สำคัญไม่ใช่ประโยคพวก a rat .. a cat นะคะ ประโยคหรูๆ เลยล่ะค่ะ นอกจากนี้ ยังสามารถเขียนอีเมลติดต่อกับฝรั่งต่างชาติได้สบาย แบบไม่อายใครจริงแท้แน่นอนค่ะ

สำหรับใครที่อาจสงสัยว่า เอ๊ะ แล้วคอร์สนี้จะเหมาะหรือดีไหมสำหรับเด็กที่โตมาแนวเรียนสายอินเตอร์ คำตอบคือ สบายมากค่ะ เด็กแนวสายอินเตอร์ หรือเรียนโรงเรียนนานาชาติมา ก็จะมีประสบการณ์ในการรู้คำศัพท์และการใช้ประโยคในระดับนึง เพราะได้ยินจนคุ้นหูมาตั้งแต่เด็กๆ ส่วนมากจะเป็น Past Tense เพราะครูที่โรงเรียนใช้สอนทุกวัน .. (ลองสังเกตดูค่ะ)

แต่เมื่อเริ่มถึงเกรด 4 ขึ้นไป หรือถึงเวลาที่จะต้องเข้าใจไวยกรณ์ที่มากขึ้น หากไม่ได้เสริมเรื่องไวยกรณ์สำหรับการเขียนแล้ว ก็อาจทำให้เขียนประโยคที่เป็นทางการ (formal writing) ไม่ได้ หรือ ถึงได้ก็ไม่ค่อยดี ซึ่งทราบไหมคะว่า formal writing นี้มีความสำคัญตอนไหน คำตอบคือ สำคัญตอนใช้ตอนสมัครเรียนต่อในต่างประเทศรวมถึงใช้ในการทำกิจการงานต่างๆ เมื่อพวกเขาโตขึ้นนั่นเองค่ะ

#เรียนภาษาอังกฤษตอนไหนดี