Movie .. ดูดีๆ มีประโยชน์

6301

สวัสดีค่ะ บทความนี้ขอเริ่มด้วยคำถามว่า “พวกเราชอบดูหนังฝรั่งกันบ้างหรือเปล่าคะ?”

สำหรับผู้เขียนแล้วเรียกได้ว่าเป็นคอหนังฝรั่งตัวยงเลยล่ะค่ะ (แต่ถ้าจะว่าไปแล้ว ก็อาจไม่เท่ากับคนรู้จักคนนึงที่ แหม…นอกจากจะดูหนังในโรงภาพยนตร์แล้ว ยังชอบซื้อดีวีดีเก็บเอาไว้เต็มบ้าน ถึงขนาดว่า ไปเปิดร้านเช่าวีดีโอได้เลยจริงๆนะ

เชื่อไหมคะว่า…บางทีการดูหนังดีๆ เรื่องนึง ก็มีข้อดีอยู่หลายหลากเลยนะ (ขอย้ำว่า ต้องเป็นเรื่องที่ดีๆ นะ) ยกตัวอย่างเช่น

  1. ทำให้ได้แง่คิดดีๆ นำไปประยุกต์ใช้ในการดำรงชีวิต หรือบางครั้งทำให้เราเห็นถึงผลร้ายที่อาจเกิดขึ้นจากการประพฤติปฏิบัติที่ผิดๆ หรือไม่ดี ก่อนที่เราจะต้องเรียนรู้มันโดยการแลกด้วยประสบการณ์จริงในชีวิตของเราเอง 
  2. ทำให้เราได้กำลังใจ (ในกรณีที่กำลังท้อแท้ หรือตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับตัวละครในหนัง)
  3. ทำให้เราได้ฝึกทักษะการฟังภาษาอังกฤษของเราให้ดีขึ้น
  4. หากมีการตั้งใจสังเกตการณ์ออกเสียงคำในแต่ละคำ ก็จะทำให้เราสามารถเรียนรู้การออกเสียงที่ถูกต้องได้ เช่น คำว่า “mystery” เราจะไม่อ่านว่า “มิส-สะ-เทอ-รี่” แต่เราจะอ่านว่า “มิส-ทรี่” (เสมือนกับว่าไม่มีตัว e อยู่)
  5. ทำให้เราทราบถึงความหมายและการใช้ slang และสำนวน (expression) ต่างๆ ในชีวิตประจำวันของชาวตะวันตก

ซึ่งเจ้าประโยชน์ข้อหลังสุดนี้เอง ที่ทำให้นึกถึงสำนวนยอดฮิตอันนึง นั่นคือ “be my guest” ซึ่งจะเอามาอธิบายความหมายให้กันฟังในที่นี้ค่ะ…

“be my guest” นั้น เป็นสำนวนที่เราจะได้ยินได้ฟังกันบ่อยมาก และส่วนมากตัวละครในหนังหรือภาพยนตร์ที่ใช้คำพูดนี้ มักจะใส่อารมณ์หงุดหงิดเข้าไปซะด้วยสิ เอ…แล้วมันหมายความว่าอะไรดีล่ะ…

จริงๆ แล้ว be my guest นั้น หมายถึง “do as you wish” ซึ่งแปลว่า “เชิญทำตามที่คุณต้องการได้เลย”… จะว่าไปแล้วมันก็สามารถใช้ได้ในทุกกรณีนะคะ ไม่ใช่ว่า…จะใช้เฉพาะกับกรณีแสดงความหงุดหงิด หรือต้องการประชดประชันเท่านั้น ดังตัวอย่างเช่น

Robert: May I use your laptop?

Christine: Sure, be my guest.

แบบนี้เป็นต้น…ตัวอย่างแรกนี้เข้าใจได้ง่าย เพราะค่อนข้างจะมีความหมายตรงๆ ลองมาดูกันอีกซักตัวอย่างนึงดีกว่านะคะ…

            Sylvia: Do you mind if I go to the concert tonight without you?

            Cindy: No, be my guest. (ประมาณว่าไม่เป็นไร เชิญไปดูคอนเสิร์ตให้สนุกเลย)

อันนี้ก็เป็นอีกตัวอย่างนึงที่ดีมาก และจากนี้ไปหวังว่า พวกเราทุกคนจะสามารถนำ “be my guest” ไปใช้ได้อย่างถูกต้องในชีวิตประจำวันแล้วกันนะคะ

นอกจากนี้แล้ว ในประโยคตัวอย่างที่สองข้างต้นนั้น ทำให้นึกถึงอีกเรื่องนึงที่น่าจะบอกเล่าให้กันฟังอีกสักนิด เพราะเป็นเรื่องที่พบเจอในชีวิตประจำวันบ่อยมากๆ…

นั่นก็คือ คำถามประเภทที่เกี่ยวข้องกับคำว่า “Do you mind” นั้นมี 2 แบบ โดยในตัวอย่างที่ผ่านมา เราถือว่าเป็นแบบแรก นั่นคือ “Do you mind if I …?” ซึ่งมีความหมายว่า “คุณจะรังเกียจไหมถ้าฉันจะ (ทำอะไรก็แล้วแต่)..?” ตัวอย่างเช่น

“Do you mind if I open the window?” (คุณจะรังเกียจไหมถ้าฉันจะเปิดหน้าต่าง?)
จะเห็นได้ว่า…ในส่วนของ V ที่ตามมา จะต้องเป็น V ช่อง 1 ที่ไม่ผันเท่านั้น (เพราะใช้กับประธาน คือ “ I ”)

ส่วนในแบบที่ 2 นั้นมี ข้อแตกต่างกันอยู่ในส่วนข้างหลังซึ่งจะไม่มีคำว่า “If I” เช่น

“Do you mind opening the window?” (คุณจะรังเกียจไหมถ้าคุณจะช่วยเปิดหน้าต่างให้ฉันที?) จะเห็นได้ว่า…ในส่วนของ V ที่ตามมา จะต้องเป็น Ving เท่านั้น ซึ่งคำถามในแบบที่ 2 นี้ มีความหมายว่า “คุณจะรังเกียจไหมที่คุณจะช่วย (ทำอะไรก็แล้วแต่) ให้ฉันหน่อย..?”

กล่าวโดยสรุปอีกครั้ง…ก็คือ

  • Do you mind if I + V1? ใช้ถามในกรณีที่เราต้องการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเอง
  • Do you mind + Ving? ใช้ถามในกรณีที่เราต้องการขอให้ผู้อื่นทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้

ทั้งคู่ก็ต่างกันแบบนี้นี่เอง .. ขอจบบทความนี้ไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะคะ พบกันใหม่บทความหน้าค่ะ ขอบคุณคุณผู้อ่านมากๆ และสวัสดีค่ะ